กิจกรรมสรงน้ำพระ วันสงกรานต์ สพป.ชุมพร เขต 2
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต 2 จัดให้มีกิจกรรมสรงน้ำพระ เนื่องในวันสงกรานต์ ประจำปี 2565 สำหรับบุคลากรในสำนักงาน และผู้มาติดต่อราชการ เพื่อร่วมกันสืบสานประเพณีวันสงกรานต์ที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมสืบไป
องค์ความรู้เกี่ยวกับการสรงน้ำ
การสรงน้ำพระ มี ๒ แบบ คือ ๑) การสรงน้ำพระพุทธรูป และ ๒) การสรงน้ำพระภิกษุสามเณร
การสรงน้ำพระพุทธรูป อาจจะจัดเป็นขบวนแห่ หรือ อัญเชิญพระพุทธรูปมาประดิษฐานในที่อันเหมาะสม การสรงน้ำจะใช้น้ำอบ น้ำหอม หรือน้ำที่ผสมด้วยน้ำอบ น้ำหอมประพรมที่องค์พระการสรงน้ำพระภิกษุสามเณร จะใช้แบบเดียวกับอาบน้ำ คือ การใช้ขันตักรดที่ตัวท่าน หรือที่ฝ่ามือก็ได้ แล้วแต่ความนิยม หากเป็นการสรงน้ำแบบอาบน้ำพระ จะมีการถวายผ้าสบงหรือถวายผ้าไตรตามแต่ศรัทธาด้วย
สรงน้ำพระได้บุญอย่างไร ?
บุญ คือ ความสุขใจ เบิกบานใจ ชุ่มชื่นใจ ความสะอาดของจิตใจ อันเกิดจากความเลื่อมใสในสิ่งที่ตนเคารพแล้วกระทำการบูชา ดังพระบาลีว่า “นัตถิ จิตเต ปะสันนัมหิ อัปปะกา นามะ ทักขิณา เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว ผลบุญไม่ชื่อว่าน้อย” การสรงน้ำพระ ก็เป็นการกระทำที่เกิดจากจิตที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้วต้องการถวายน้ำอบน้ำหอม อันเป็นอามิสบูชา อีกนัยหนึ่งเป็นการแสดงมุทิตาจิตในท่านผู้เป็นที่เคารพ ซึ่งพระภิกษุสงฆ์ก็จัดอยู่ในฐานะเป็นที่เคารพทางด้านจิตใจ เพราะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ สืบสานหลักธรรมนำเผยแผ่ สาธุชนสำนึกในคุณงามความดีของท่านจึงถวายการเคารพบูชาด้วยการสรงน้ำ ซึ่งมีอานิสงส์ที่ท่านได้แสดงไว้ดังนี้ อานิสงส์ถวายเครื่องเถราภิเษก (สรงน้ำพระ) ผู้ใดได้ถวายเครื่องเถราภิเษก(สรงน้ำพระ) จะพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง
เรื่องเล่าอานิสงส์ในสมัยพุทธกาล
ในกาลครั้งนั้นองค์สมเด็จพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ เชตวันมหาวิหาร พร้อมภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป พระเจ้าปัสเสนทิโกศล พร้อมด้วยมหาอำมาตย์ทั้งหลาย ได้นำ เครื่องสักการะทั้งหลาย เข้าไปสู่พระเชตะวันมหาวิหาร ถวายอภิวาท แด่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วทูลถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อันบุคคลใดกระทำสักการะบูชาสรงเถราภิเษก แก่สงฆ์ ด้วยใจเลื่อมใสศรัทธา จะได้ผลอานิสงส์เป็นอย่างไรพระเจ้าข้า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูกรมหาราช บุคคลใด มีความเชื่อในคุณพระรัตนตรัยทั้ง ๓ ประการในเมื่อปรารถนาอันใด ก็จะสม ความมุ่งมาตรปรารถนา ทุกประการ การทำเถราภิเษกนี้ได้ทำกันสืบ ๆ มาในครั้งพุทธเจ้าก่อน ๆ แล้วพระองค์ทรงแสดงสืบต่อไปว่า ในกาลครั้งนั้นเป็นสมัยครั้งศาสนาของพุทธเจ้าเมธังกร ยังมี พระยาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าวิชัยยะ ได้เสวยสมบัติ ในเมืองสารนครประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรม ๑๐ ประการ มีเถระองค์หนึ่งชื่อว่าอุสสา เป็นอันเตวาสิกแห่งพุทธเจ้าเมธังกร พระยาวิชัยยะ ได้ทอดพระเนตรเห็น พระมหาเถระเข้ามาในเมือง พระยาวิชัยยะก็มีใจศรัทธาเลื่อมใส ในอิริยาบถ ของพระมหาเถระเจ้าเสร็จไปต้อนรับนิมนต์ให้ไปสู่ปราสาทของพระองค์ แล้วก็จัดแจง สรงเถราภิเษกด้วยน้ำหอม เสร็จแล้วถวายภัตตาหาร ตั้งความปรารถนาว่า ปวงชนทั้งหลายที่อยู่ใน ขอบเขตขัณฑเสมา ขอจงตั้งอยู่ใน โอวาทคำสอน ของพระองค์ ทุกเมื่อ และขอให้ข้าพระองค์ได้พ้นจากทุกข์ภัยเวร ข้าศึกศัตรูทั้งหลายด้วยบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำไว้ในอนาคตกาลโน้นเทอญ พระมหาเถระเจ้า ก็ได้อนุโมทนา แห่งพระยาวิชัยยะ แล้วถวายพระพรทิพย์ ๑๐ ประการ ลากลับไปสู่ สำนักแห่งพระมหาเถระเจ้า พระยาวิชัยยะได้รับพร แห่งพระมหาเถระ แล้วมีจิตยินดีรื่นเริงบันเทิงใจ ต่อบุญกุศลของพระองค์ที่ทรงกระทำไว้ ครั้นจุติจากโลกแล้วก็ไปอุบัติ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิตพิภพ มีวิมานทองสูง ๒๒ โยชน์ มีนางเทพอัปสรแสนหนึ่งเป็นบริวาร ครั้นสิ้นชีพเทวบุตรแล้ว ได้ไปเกิดเป็นเจ้าพระสิริตะ เสริมสร้างบารมีให้แก่กล้าขึ้นไป ได้มาเกิดเป็น องค์พระตถาคต เดี๋ยวนี้แล